วันอังคารที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2562
ข้าวผัดหมูผัดกะปิ
วัตถุดิบ
1. ข้าวสวย 1 ถ้วย
2. หมูสามชั้น 300 กรัม
3. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำตาลทราย ½ ช้อนโต๊ะ
5. ซอสปรุงรส ½ ช้อนโต๊ะ
6. กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
7. พริกแดงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
8. ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
9. พริกชี้ฟ้าแดงสไลซ์ 1 เม็ด
STEP 1 : ทอดหมูสามชั้น
- นำกระทะขึ้นตั้งไฟปานกลาง รอจนกระทะร้อน นำหมูสามชั้นลงไปผัดจนเหลืองและมีน้ำมันออกมา
TIP : เพราะในหมูสามชั้นมีไขมัน พอโดนความร้อนจะมีน้ำมันออกมา จึงไม่ต้องใช้น้ำมันในการผัด
STEP 1 : ผัดข้าวและปรุงรส
- ใส่กระเทียมสับ และพริกแดงสับ ผัดจนเหลืองหอม จากนั้นใส่กะปิลงไป ผัดให้เข้ากัน
- ใส่ข้าวสวยลงไป ตามด้วยน้ำตาลทราย และซอสปรุงรส ผัดให้เข้ากัน โรยด้วยใบมะกรูดฉีก และพริกชี้ฟ้าแดงสไลซ์ ยกออกจากเตา
STEP 3 : ตักเสิร์ฟ
- ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟจ้า
เครดิต https://www.wongnai.com/recipes/fried-rice-with-pork-and-shrimp-paste
HOMEPAGE
ข้าวผัดกุ้ง
วัตถุดิบ
1. ข้าวสวย (ไม่แฉะ) 3 ถ้วยตวง
2. กุ้งขาวแกะเปลือกผ่าหลัง 20 ตัว
3. กระเทียมสับ 8 กลีบ
4. แครอทหั่นเต๋าเล็ก 4 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
6. ไข่ไก่ 2 ฟอง
7. น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
8. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
9. ต้นหอมซอย 1 ต้น
10. แตงกวา ต้นหอม ผักชี และมะนาวหั่นซีก สำหรับกินคู่
STEP 1 : เตรียมกระทะ ผัดข้าวและกุ้ง
- เริ่มต้นด้วยการตั้งกระทะไฟแรง ใส่น้ำมันลงไป พอเริ่มร้อนใส่กระเทียมสับลงไปเจียวให้เหลือง
- จากนั้นจึงใส่กุ้งลงไปผัดพอสุก
- เสร็จแล้วใส่ข้าวสวยลงผัดให้ส่วนผสมเข้ากัน จึงใส่แครอทลงไปผัด
STEP 2 : ปรุงรสและผัดใส่ไข่
- ปรุงด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย และพริกไทย ผัดให้เข้ากัน
- ใช้ตะหลิวดันข้าวผัดขึ้นไปอยู่ข้าง ๆ กระทะ เว้นที่ก้นกระทะไว้ แล้วตอกไข่ใส่ลงไป ใช้ตะหลิวตีไข่ให้แตก จากนั้นตักข้าวที่อยู่ข้างกระทะกลบทับไข่ไว้ รอจนไข่สุกแล้วจึงช้อนกลับให้ไข่อยู่ด้านบน ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ ใส่ต้นหอมซอยลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันอีกที ยกลงจากเตาได้เลย
STEP 3 : จัดเสิร์ฟ
- ตักใส่จาน เสิร์ฟพร้อมแตงกวา ต้นหอม และมะนาว
เครดิต https://www.wongnai.com/recipes/fried-rice-with-shrimp
HOMEPAGE
ปูไข่ดองน้ำปลา
ส่วนผสม
สำหรับ 1 สูตร
1. ปูไข่2 ตัว
2. น้ำเปล่า4 ถ้วยตวง
3. น้ำปลา1 ถ้วยตวง
4. น้ำตาลทราย1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
เวลาเตรียมส่วนผสม: 15 นาที
เวลาปรุงอาหาร: 15 นาที
1
- นำปูไข่มาทำความสะอาด โดยการขัดคราบโคลนที่อยู่ในตัวปูออกและล้างน้ำให้สะอาด แล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
- นำปูไข่มาแกะกระดองออกออกจากตัวปู เพื่อนำไปดอง
(แกะอย่างระวังอย่าให้ไข่ปูหลุดออกจากตัวปู)
2
- นำน้ำเปล่าเทลงในหม้อ ตามด้วยน้ำปลาและน้ำตาล จากนั้นนำหม้อขึ้นตั้งไฟให้น้ำตาลละลาย
3
- พักให้เย็น ก่อนนำไปดองปูไข่ที่ล้างเสร็จแล้ว ดองทิ้งไว้เป็นเวลา 1 คืน โดยใส่ตู้เย็นในช่องแช่แช็ง
4
โรยกระเทียมซอย พริกขี้หนูสวนซอย จัดเสริฟ
เครดิต https://www.wongnai.com/recipes/ugc/e0c2fc490f424594a023ff81ddd0a031
HOMEPAGE
เทพีอาร์เทมีส (Artemis) เทพีแห่งจันทรา
อาร์เทมิส จันทราเทพีแห่งกรีก
ก่อนหน้านี้ได้พูดถึงเทพอะพอลโล ผู้เป็นสุริยเทพหน้าตาดีกันไปแล้ว คราวนี้ก็ต้องขอพูดถึงเทพีอาร์เทมิสผู้งดงามและสง่างามไม่แพ้กับเทพอะพอลโลผู้เป็นพระเชษฐากันบ้าง ทั้งสองพระองค์ถือเป็นพี่น้องฝาแฝดชายหนุ่มของกันและกัน ซึ่งโด่งดังมากที่สุดเลยทีเดียว เทพีอาร์เทมิสถือเป็นพระธิดาของเทพซีอุสและเทพีแลโตนา ซึ่งชีวิตของพระองค์ในครั้งที่เป็นเด็กนั้นไม่ได้ราบรื่นเสียเท่าไร ตามที่เคยได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนของ เทพอะพอลโล สุริยเทพแห่งกรีก
เทพีอาร์เทมิส ถือเป็นจันทราเทพีผู้ปกครองช่วงเวลาในตอนกลางคืน และถือเป็นเทพีผู้มอบแสงสว่างให้แก่รัตติกาลอีกด้วย ในขณะเดียวกัน พระเทพีก็ยังมีแนวทางที่แตกต่างจากเทพีองค์อื่นๆ โดยเทพีอาร์เทมิสจะมีลักษณะออกแนวบู้ๆ รักการล่าสัตว์ พระองค์จะมีอาวุธคู่กายเป็นคันธนูและลูกศรติดตัวเอาไว้อยู่เสมอ พระองค์จึงมักถูกนับถือในนามของเทพีผู้คุ้มครองสัตว์ป่าเสียมากกว่า หากมีผู้ใดที่เข้าไปในเขตป่าของพระองค์โดยไม่ได้รับการยินยอม และเข้ามาทำร้ายหรือจับสัตว์ีป่าที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของพระองค์แล้ว หากพระเทพีทราบเข้าก็จะทำการสังหารบุคคลผู้นั้นจนตายด้วยลูกธนู
เทพีอาร์เทมิสถือเป็นเทพีที่ดำรงอยู่ในพรหมจรรย์ตามรอยเทพีเฮสเทียและเทพีอธีน่า เนื่องจากพระองค์เห็นมาก่อนว่า เทพีแลโตนาผู้เป็นมารดาจะอดทนอยู่กับความทุกข์มากมายเพียงใด ซึ่งเธอนั้นต้องฝันฝ่าอุปสรรคความรักที่ลิขิตให้มาเป็นพระชายาเทพซีอุสโดยมีเทพีเฮร่าตามรังควาญ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พระเทพีกลัวความจริงในการออกเรือน และให้สัญญาว่าจะไม่ขอมีครอบครัว อีกทั้งยังขอรักษาพรหมจรรย์ที่มีเอาไว้ยิ่งชีพ
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีตำนานบางเรื่องที่กล่าวถึงพระเทพีผู้นี้ว่าเคยไปหลงรักกับบุรุษรูปงาม 2 คน ที่มีนามว่า ไอโอออน กับ เอนดิเมียน แต่เรื่องราวของตำนานเหล่านี้ก็มักจะจบท้ายแบบไม่ดีเสียทุกครั้ง ทำให้สามารถบอกได้เลยว่า ความรักของเทพผู้นี้เป็นความรักที่น่าสงสารและไม่ค่อยจะสมหวังเสียเท่าไร
ตามคำบอกเล่าว่ากันว่า เทพีอาร์เทมิสมีรูปกายงดงาม เป็นที่น่าเคารพ และถือเป็นเทพีแห่งแสงจันทร์ แต่ก็ยังพบว่าบางตำนานมีการกล่าวถึงเทพีอาร์เทมิสในอีกรูปแบบ ว่าพระองค์นั้นมีความโหดเหี้ยมอำมหิตไม่เหมือนเทพีองค์อื่นๆ ดังเช่นตัวอย่างต่อไปนี้
กล่าวถึงตำนานของนายพราน “แอคเตียน” ที่บังเอิญพลัดหลงเข้าไปในป่าต้องห้าม เขาผู้นี้น่าสงสารเป็นอย่างมากเพราะไม่สามารถหาทางออกได้ ซึ่งบริเวณที่หลงทางถือเป็นเขตอาณาเขตของเทพีอาร์เทมิส เขาผู้นี้บังเอิญไปเจอเทพีอาร์เทมิสที่กำลังออกมาอาบน้ำเข้า เทพีอาร์เทมิสอาบน้ำอย่างสบายใน โดยมีนางไม้หลายต่อหลายตนค่อยดูแลอยู่ไม่ห่าง ด้วยความงามของเทพีอาร์เทมิส ที่มีผิวขาวนวลเหมือนแสงจันทร์ เส้นผมเปล่งประกายคล้ายทองคำที่ถูกส่องด้วยแสงอาทิตย์ ทำให้นายพรานหนุ่ม แอบดูอยู่ในพุ่มไม้บริเวณใกล้ๆนั้นแบบไม่วางตา แม้จะรู้สึกเกรงกลัวในฤทธิ์เดชของเทพีองค์นี้อยู่ไม่น้อย โชคร้ายที่พระเทพีก็ได้เหลือบไปเห็นแสงประกายแสนแปลกประหลาดที่โผล่ออกมาจากพุ่มไม้ จึงรู้สึกผิดสังเกตและรับรู้ได้ว่ามีใครบางคนกำลังแอบดูพระองค์อยู่ พระเทพีเทพีอาร์เทมิสรู้สึกพิโรธเป็นอย่างมากที่ถูกแอบถ้ำมอง เมื่อนายพรานรู้ตัวว่าพระเทพีจับได้ว่าตนแอบกระทำการมิชอบ ก็คิดจะหนี แต่ว่าพระเทพีเทพีอาร์เทมิสก็ได้ใช้มือตักน้ำขึ้นมาสาดไปถูกนายพรานหนุ่มอย่างเจ็มแรง ซึ่งเมื่อนายพรานโดนน้ำก็กลายร่างไปเป็นกวางป่าไป นายพรานในร่างของกวางพยายามวิ่งหนีอย่างสุดกำลังเพื่อหวังจะออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือจากใครสักคน แต่บังเอิญได้ไปพบกับสุนัขล่าเนื้อของตนเข้า แต่สุนัขตัวนี้ออกตามไล่กัดนายพรานผู้เป็นเจ้าของเพราะไม่รู้ว่ากวางตัวนี้คือนายของตนเอง และสุดท้ายนายพรานหนุ่มก็ต้องเสียชีวิตลงเนื่องจากถูกสุนัขล่าเนื้อของตนสังหารอย่างน่าสังเวช
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อครั้งต่อมาได้กล่าวถึงชายหนุ่มที่มีชื่อว่า “แอดมีทัส” เขาผู้นี้เป็นสาวกที่มีหน้าที่ในการถวายเครื่องสักการะแด่องค์เทพีอาร์เทมิส แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาได้ไปพบรักกับสาวงามคนหนึ่งและตัดสินใจขอเธอเป็นภรรยา ซึ่งตัวเธอนั้นก็ตบปากรับคำที่จะเป็นภรรยาของเขาอย่างดี ซึ่งทำให้เขารู้สึกปลื้มปิติและยุ่งวุ่นวายกับการจัดงานมงคลสมรสของตนเป็นอย่างมาก ในที่สุด เขาก็หลงลืมหน้าที่ของตน ที่จะต้องทำการถวายเครื่องสักการะแด่พระเทพี เมื่อความครั้งนี้ทราบถึงหูพระเทพีว่าแอดมีทีสหลงลืมหน้าที่ของตนเอง พระองค์ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และได้ลงฌดทษด้วยการเสกให้ห้องหอที่แอดมีทีสจะแต่งงานกับเจ้าสาวของเขานั้น เต็มไปด้วยงูพิษมากมายนับไม่ถ้วน
เรื่องเล่าต่อมากล่าวถึงพระราชาที่มีชื่อว่า “ท้าวโอนีอัส” ผู้ครองเมืองคาลีดอน พระราชาผู้นี้เกิดลืมที่จะถวายเครื่อสักการะแด่พระเทพีเช่นกัน ซึ่งก็มีผลให้พระเทพีเกิดอาการกริ้วเช่นเดิม และทรงบันดาลให้วัวป่าบ้าคลั่งพุ่งเข้าทำลายเมืองคาลีดอนของพระราชาผู้นี้เสีย อีกทั้งวัวป่าตัวนี้ก็ยังเข้าทำร้ายสังหารเชื้อพระวงศ์และครอบครัวของท้าวโอนีอัสจนสิ้นพระชนม์จนหมดสิ้น ซึ่งถือเป็นการลงโทษครั้งหนึ่งจากพระเทพีพระองค์นี้ ที่รุนแรงและโหดร้ายเป็นอย่างมาก
ไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะพระเทพีก็เคยลงโทษนางไม้ผู้น่าสงสารที่มีชื่อว่า “คัสลิสโต” เธอนั้นถูกเทพซีอุสจับไปปลุกปล้ำเป็นชายา และเนื่องจากเทพีอาร์เทมิสไม่สามารถว่ากล่าวอะไรต่อเทพซีอุสผู้เป็นบิดาได้ เทพีอาร์เทมิสจึงไปลงมือเอากับนางไม้คัสลิสโตผู้น่าสงสารนี้แทน เทพีอาร์เทมิสสาปให้นางไม้กลายร่างไปเป็นหมี เท่านั้นไม่พอ พระโอรสที่เกิดจากนางคัสลิสโตกับเทพซีอุส ซึ่งไม่ทราบว่าพระมารดาของตนกลายเป็นหมีไปแล้ว ก็ได้ทำการสังหารหมีตัวนั้นตายกับมือ แต่เมื่อมาทราบเอาภายหลังว่าหมีตัวนั้นคือแม่แท้ๆของตัวเองที่ถูกเทพีอาร์เทมิสสาปไป เขาก็รู้สึกสำนึกผิดเป็นอย่างมาก และตัดสินใจฆ่าตัวเองตายผู้เป็นมารดาไปเพื่อสำนึกในความผิด หลังจากที่เทพีอาร์เทมิสทราบว่าพระองค์เป็นคนผิดที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เทพีอาร์เทมิสจึงได้เนรมิตให้ทั้งสองแม่ลูกไปเกิดเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า ที่เรารู้จักกันดีว่า ดาวหมีเล็ก กับ ดาวหมีใหญ่
แม้ว่าเมื่อดูภายนอกแล้วเทพีอาร์เทมิสจะเป็นเทพีผู้แข็งแกร่ง เพราะพระองค์ชอบที่จะทำกิจกรรมเยี่ยงบุรุษ เช่น การล่าสัตว์ เป็นต้น ซึ่งคิดว่าพระองค์น่าจะเกิดมาจากอุดมคติแห่งสตรีในสมัยกรีกโบราณที่ต้องการจะให้สตรีสามารถทำการใดก็ได้เฉกเช่นดั่งบุรุษ เพราะเทพก็เปรียบเสมือนกระจกเงาที่บอกสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง…
เครดิต https://www.tumnandd.com/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA-artemis/
HOMEPAGE
ตำนานเพอร์เซโฟนี (Persephone)
เทพีเพอร์เซโฟนี เป็นหลานสาวแท้ๆของเทพฮาเดส ซึ่งโดดเด่นเรื่องความงดงามเหนือใคร พระองค์ทรงเป็นพระธิดาของเทพซีอุสและเทพีดิมิเตอร์ ผู้เป็นโพสพเทพีแห่งกรีก หากเมื่อใดที่เทพีดิมิเตอร์และเทพีเพอร์เซโฟนีอยู่ด้วยกัน ที่แห่งนั้นก็จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณธัญหาร ในทางตรงกันข้าม หากเมื่อใดที่ทั้งสองจำต้องพรากจากกันไป ความอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีก็จะหมดไป และถูกแทนที่ด้วยความแห้งแล้งอดอยากแทน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเทพีเพอร์เซโฟนี ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญงอกงามนั่นเอง
แต่หลายคนอาจจะสางสัยว่า เหตุใดเทพีเพอร์เซโฟนีผู้สดใสน่ารักสดใส จึงผันตัวเองกลายเป็นราชินีแห่งปรโลกผู้แสนเย็นชาไปได้อย่างไร มีตำนานเล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ว่า ครั้งหนึ่งที่เทพฮาเดสได้พบกับเทพีเพอร์เซโฟนี เทพฮาเดสรู้สึกถูกชะตากับเทพีเพอร์เซโฟนีเป็นอย่างมาก และพระองค์ก็ตัดสินใจลักพาตัวเทพีเพอร์เซโฟนีลงไปยังอาณาจักรใต้พิภพ และมอบมงกุฎอัญมณีอันแสนงดงามให้แก่เทพีเพอร์เซโฟนี โดยที่พระเทพีก็ยังคงร้องไห้เสียใจที่ถูกลักพาตัวมาเช่นนี้ แต่เทพฮาเดสกลับรู้สึกยินดีที่พระองค์ได้ครอบครองัวพระมเหสีที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เทพีเพอร์เซโฟนีทรงรู้สึกเกลียดพระสวามีเป็นอย่างมาก และแสดงความเย็นชาไร้เยื่อใยต่อพระสวามีตลอดระยัเวลาที่อภิเษกกันมา แต่เมื่อใดที่เทพีเพอร์เซโฟนีได้ปรากฎตัวขึ้นสู่พื้นพิภพ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกก็กลับกลายเป็นใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกครั้งที่พระองค์ได้พบเจอแสงอาทิตย์ อีกทั้งยังช่วยให้ความแห้งแล้งที่มีอยู่บนโลกได้มลายหายไปสิ้น ซึ่งเปรียบเสมือนวันที่พระเทพีได้กลับมาสู่อ้อมอกพระมารดาอีกครั้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็กลายมาเป็นตำนานแห่งการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลนั่นเอง
แม้ว่าเทพีเพอร์เซโฟนีจะมิทรงชอบในตัวของพระสวามี แต่ก็ยังทรงมีความรู้สึกรักในตัวพระสวามีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้เทพฮาเดสรับรู้ ซึ่งเคยมีตำนานที่กล่าวว่าเทพีเพอร์เซโฟนีมีอาการหึงหวงในพระสวามีอยู่ด้วย ดังเนในตอนที่ พระองค์ได้ลงมือฆ่านางไม้ที่มีชื่อว่า “มินธี” จนเสียชีวิตคาที่ โดยมีพระมารดาที่ชื่อว่าเทพีดิมิเตอร์ร่วมลงมือด้วย
มีตำนานเล่าถึง “ออร์ฟีอุส” ผู้เป็นพระโอรสแห่งเทพอะพอลโล และเป็นวีรบุรุษที่เก่งกาจในการเล่นพิณ ไว้ว่า เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ เขาได้เดินทางไปยังปรโลกซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งเทพฮาเดส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปตามหาดวงวิญญาณของนางอันเป็นที่รักที่มีชื่อว่า นางไม้ยูลิดิซี ให้กลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง และด้วยฝีมือการเล่นพิณอันแสนไพเราะและเต็มไปด้วยความเศร้า จึงทำให้พระราชินีแห่งปรโลกที่เต็มไปด้วยความเย็นชา กลับร้องไห้ออกมาได้ และพระราชินีก็ทูลข้อร้องต่อเทพฮาเดสเพื่อยอมให้ออร์ฟีอุสได้นำวิญญาณของนางยูริดิซีกลับไปได้ เหตุเพราะสงสารในความรักของคนทั้งสอง ที่ต่างก็เป็นทั้งแรกและครั้งสุดท้ายของกันและกัน แต่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เทพีเพอร์เซโฟนีก็กลับมาเย็นชาตามเดิม และไม่เคยร้องไห้หรือแสดงอาการใดๆเลยยามเมื่อต้องอยู่ในปรโลก
หากกล่าวถึงตำนานรักของเทพเจ้ากรีก ก็คงหนีไม่พ้นตำนานของอีรอสกับไซคี ซึ่งมีเรื่องราวอยู่ว่า เมื่ออีรอสรู้ว่าไซคีรู้ความจริงว่าตนเองนั้นเป็นเทพบุตร จึงได้หนีหายตัวไป ไซคีจึงได้ออกตามหาพระสวามีซึ่งก็คือ เทพบุตรอีรอส กลับมา และได้เข้าไปขอให้เทพีอโฟรไดทิช่วยเหลือ โดยนางไม่รู้เลยว่าเทพีอโฟรไดทิผู้นั้นต้องการจะกำจัดนางไปให้พ้นทาง เหตุเพราะนางไซคีมีหน้าตาที่สวยกว่าพระองค์ เทพีอโฟรไดทิจึงบอกให้นางไซคีไปทูลขอความงามจากเทพีเพอร์เซโฟนีผู้เป็นราชินีแห่งปรโลกกลับมาให้พระองค์เป็นการตอบแทน แต่ในความจริงแล้ว เทพีอโฟรไดทิต้องการจะส่งนางไซคีไปตายเสียมากกว่า ซึ่งหากนางไซคียอมทำตามข้อตกลง นางก็จะได้พระสวามีกลับคืนมา ซึ่งครั้งนี้ นางไซคีก็ได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้ามากมายที่เห็นแก่ความภักดีของนาง จนในที่สุด นางก็ได้เดินทางมาถึงตำหนักของเทพีเพอร์เซโฟนี พระเทพีได้มอบผอบทองคำให้แก่นาง ซึ่งเมื่อนางไซคีรับมาแล้ว ก็รีบนำผอบกลับไปให้เทพีอโฟรไดทิทันที แต่ระหว่างทางนางไซคีก็ฝ่าฝืนคำสั่งด้วยการเปิดผอบออกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเมื่อผอบถูกเปิดออก ก็ทำให้นางไซคีเสียชีวิตลงทันที อีรอสที่แอบตามมาดูอยู่ห่างๆจึงรีบออกมาช่วยเหลือ โดยทูลขอความเห็นใจจากเทพเจ้าบนโอลิมปัส ในที่สุด เทพซีอุสก็ได้ประทานความเป็นอมตะให้แก่นางไซคีและเทพบุตรอีรอส ทำให้ทั้งสองได้กลับมาครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป
ที่ยกเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้ทราบว่า เทพีเพอร์เซโฟนีก็มีความสำคัญไม่น้อย และถูกกล่าวถึงในตำนานและเทพนิยายของกรีกเช่นกัน
เครดิต https://www.tumnandd.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%B5-persephone/
HOMEPAGE
แต่หลายคนอาจจะสางสัยว่า เหตุใดเทพีเพอร์เซโฟนีผู้สดใสน่ารักสดใส จึงผันตัวเองกลายเป็นราชินีแห่งปรโลกผู้แสนเย็นชาไปได้อย่างไร มีตำนานเล่าถึงเรื่องราวเหล่านี้ว่า ครั้งหนึ่งที่เทพฮาเดสได้พบกับเทพีเพอร์เซโฟนี เทพฮาเดสรู้สึกถูกชะตากับเทพีเพอร์เซโฟนีเป็นอย่างมาก และพระองค์ก็ตัดสินใจลักพาตัวเทพีเพอร์เซโฟนีลงไปยังอาณาจักรใต้พิภพ และมอบมงกุฎอัญมณีอันแสนงดงามให้แก่เทพีเพอร์เซโฟนี โดยที่พระเทพีก็ยังคงร้องไห้เสียใจที่ถูกลักพาตัวมาเช่นนี้ แต่เทพฮาเดสกลับรู้สึกยินดีที่พระองค์ได้ครอบครองัวพระมเหสีที่มีรูปร่างหน้าตางดงามเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เทพีเพอร์เซโฟนีทรงรู้สึกเกลียดพระสวามีเป็นอย่างมาก และแสดงความเย็นชาไร้เยื่อใยต่อพระสวามีตลอดระยัเวลาที่อภิเษกกันมา แต่เมื่อใดที่เทพีเพอร์เซโฟนีได้ปรากฎตัวขึ้นสู่พื้นพิภพ ใบหน้าที่เคยไร้ความรู้สึกก็กลับกลายเป็นใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาในทุกครั้งที่พระองค์ได้พบเจอแสงอาทิตย์ อีกทั้งยังช่วยให้ความแห้งแล้งที่มีอยู่บนโลกได้มลายหายไปสิ้น ซึ่งเปรียบเสมือนวันที่พระเทพีได้กลับมาสู่อ้อมอกพระมารดาอีกครั้ง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็กลายมาเป็นตำนานแห่งการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลนั่นเอง
แม้ว่าเทพีเพอร์เซโฟนีจะมิทรงชอบในตัวของพระสวามี แต่ก็ยังทรงมีความรู้สึกรักในตัวพระสวามีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงออกให้เทพฮาเดสรับรู้ ซึ่งเคยมีตำนานที่กล่าวว่าเทพีเพอร์เซโฟนีมีอาการหึงหวงในพระสวามีอยู่ด้วย ดังเนในตอนที่ พระองค์ได้ลงมือฆ่านางไม้ที่มีชื่อว่า “มินธี” จนเสียชีวิตคาที่ โดยมีพระมารดาที่ชื่อว่าเทพีดิมิเตอร์ร่วมลงมือด้วย
มีตำนานเล่าถึง “ออร์ฟีอุส” ผู้เป็นพระโอรสแห่งเทพอะพอลโล และเป็นวีรบุรุษที่เก่งกาจในการเล่นพิณ ไว้ว่า เมื่อครั้งที่เขาเป็นมนุษย์ เขาได้เดินทางไปยังปรโลกซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งเทพฮาเดส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อไปตามหาดวงวิญญาณของนางอันเป็นที่รักที่มีชื่อว่า นางไม้ยูลิดิซี ให้กลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้ง และด้วยฝีมือการเล่นพิณอันแสนไพเราะและเต็มไปด้วยความเศร้า จึงทำให้พระราชินีแห่งปรโลกที่เต็มไปด้วยความเย็นชา กลับร้องไห้ออกมาได้ และพระราชินีก็ทูลข้อร้องต่อเทพฮาเดสเพื่อยอมให้ออร์ฟีอุสได้นำวิญญาณของนางยูริดิซีกลับไปได้ เหตุเพราะสงสารในความรักของคนทั้งสอง ที่ต่างก็เป็นทั้งแรกและครั้งสุดท้ายของกันและกัน แต่นับจากวันนั้นเป็นต้นมา เทพีเพอร์เซโฟนีก็กลับมาเย็นชาตามเดิม และไม่เคยร้องไห้หรือแสดงอาการใดๆเลยยามเมื่อต้องอยู่ในปรโลก
หากกล่าวถึงตำนานรักของเทพเจ้ากรีก ก็คงหนีไม่พ้นตำนานของอีรอสกับไซคี ซึ่งมีเรื่องราวอยู่ว่า เมื่ออีรอสรู้ว่าไซคีรู้ความจริงว่าตนเองนั้นเป็นเทพบุตร จึงได้หนีหายตัวไป ไซคีจึงได้ออกตามหาพระสวามีซึ่งก็คือ เทพบุตรอีรอส กลับมา และได้เข้าไปขอให้เทพีอโฟรไดทิช่วยเหลือ โดยนางไม่รู้เลยว่าเทพีอโฟรไดทิผู้นั้นต้องการจะกำจัดนางไปให้พ้นทาง เหตุเพราะนางไซคีมีหน้าตาที่สวยกว่าพระองค์ เทพีอโฟรไดทิจึงบอกให้นางไซคีไปทูลขอความงามจากเทพีเพอร์เซโฟนีผู้เป็นราชินีแห่งปรโลกกลับมาให้พระองค์เป็นการตอบแทน แต่ในความจริงแล้ว เทพีอโฟรไดทิต้องการจะส่งนางไซคีไปตายเสียมากกว่า ซึ่งหากนางไซคียอมทำตามข้อตกลง นางก็จะได้พระสวามีกลับคืนมา ซึ่งครั้งนี้ นางไซคีก็ได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้ามากมายที่เห็นแก่ความภักดีของนาง จนในที่สุด นางก็ได้เดินทางมาถึงตำหนักของเทพีเพอร์เซโฟนี พระเทพีได้มอบผอบทองคำให้แก่นาง ซึ่งเมื่อนางไซคีรับมาแล้ว ก็รีบนำผอบกลับไปให้เทพีอโฟรไดทิทันที แต่ระหว่างทางนางไซคีก็ฝ่าฝืนคำสั่งด้วยการเปิดผอบออกดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเมื่อผอบถูกเปิดออก ก็ทำให้นางไซคีเสียชีวิตลงทันที อีรอสที่แอบตามมาดูอยู่ห่างๆจึงรีบออกมาช่วยเหลือ โดยทูลขอความเห็นใจจากเทพเจ้าบนโอลิมปัส ในที่สุด เทพซีอุสก็ได้ประทานความเป็นอมตะให้แก่นางไซคีและเทพบุตรอีรอส ทำให้ทั้งสองได้กลับมาครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป
ที่ยกเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้ทราบว่า เทพีเพอร์เซโฟนีก็มีความสำคัญไม่น้อย และถูกกล่าวถึงในตำนานและเทพนิยายของกรีกเช่นกัน
เครดิต https://www.tumnandd.com/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B8%B5-persephone/
HOMEPAGE
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)